ดำเนินคดีเด็ดขาดผู้กำกับการนราธิวาส-ผกก.ตากใบ-ร้อยเวร เรียกรับเงินช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติด-อาวุธสงคราม
1 min readจากกรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค.65 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ยื่นหนังสือ
พร้อมเอกสารหลักฐานถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขอให้ตรวจสอบกรณีข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัด
นราธิวาสมีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกรับสินบนแลกกับการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติดและอาวุธปืนสงครามเพื่อให้
ไม่ถูกดำเนินคดี มีการออกบัตรแหล่งข่าว (บัตรเบ่ง) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ขบวนการยาเสพติด รวมทั้งคดีลอบฆ่าเจ้าหน้าที่
ตำรวจในพื้นที่ สภ.สุไหงโก-ลก ภ.จว.นราธิวาส นอกจากนี้ยังรวมถึงข้าราชการฝ่ายปกครองที่ให้ความช่วยเหลือในการออก
ใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนให้กับขบวนการค้ายาเสพติด รายละเอียดตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น
กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตรวจสอบ
ข้อเท็จจริงจากกรณีดังกล่าว เนื่องจากเป็นกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนในการกระทำผิด และเป็นที่สนใจ
ของประชาชนและสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนตรวจสอบข้อมูลตามพยานหลักฐานที่
นายอัจฉริยะได้มอบให้ ผลการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า กรณีดังกล่าวมีมูลความจริงว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องและ
ช่วยเหลือผู้ต้องหาตามพยานหลักฐานที่ได้รับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้นำเรียนให้ ผบ.ตร. ทราบ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ จึงได้มีคำสั่ง
ที่ 475/2565 ลงวันที่ 25 ต.ค.65 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน
ในการสืบสวนดังกล่าว โดยมี พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวงผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน
จากพยานหลักฐานที่ได้รับจากนายอัจฉริยะ ได้ตั้งข้อสังเกตและประกอบพยานหลักฐานไว้จำนวน 4 ประเด็นด้วยกัน
ประกอบด้วย
ประเด็นที่ 1 กรณีคดีลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.65 เวลา 02.00 น. ได้มีคนร้ายลอบยิง
ส.ต.ต.ธนกฤต ฤกษ์ดีขณะปฏิบัติหน้าที่สายตรวจจนเสียชีวิต ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้คือ นายฮาฟิต อายุ 19 ปี โดยผู้ต้องหาให้การซัดทอดว่า ได้รับการจ้างวานจาก นายชญานนท์ อายุ 25 ปี ให้ดำเนินการลอบ
สังหารเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ พล.ต.ต.แวสาแม กลับให้การช่วยเหลือจน นายชญานนท์ ไม่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ประเด็นที่ 2 กรณีนายอำเภอสุไหงโก-ลก ได้มีการออกใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนให้กับกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งมีประวัติ
เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดโดยไม่มีการตรวจสอบประวัติ และออกให้กับบุคคลเดียวจำนวนหลายกระบอก โดยมีการออก
ใบอนุญาตให้กับผู้ต้องหาสูงสุดถึง 3 กระบอกภายในวันเดียว จากการสืบสวนพบว่า นายชญานนท์ฯ ผู้ต้องหา รู้จักกับนาย
รุ่งเรือง นายอำเภอสุไหงโก-ลก (ตำแหน่งขณะนั้น) โดยได้ประสานขอใบอนุญาตมีและใช้อาวุธปืน (ป.4) โดยได้มีการ
จ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกให้กระบอกละ 5,000 – 10,000 บาท จำนวน 7 กระบอก รวมเป็นเงิน 40,000 บาท
ประเด็นที่ 3 เป็นกรณีที่ พล.ต.ต.แวสาแม กับพวก ให้การช่วยเหลือกลุ่มผู้ต้องหาให้พ้นจากการถูกดำเนินคดี
จากการสืบสวนพบว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สงขลา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ทหาร
ร่วมกันจับกุม นายอาซิ อายุ 33 ปี พร้อมกัญชาอัดแท่งรวม 128 กก. ส่งดำเนินคดีพื้นที่ สภ.ตากใบ ภ.จว.นราธิวาส
สอบถามผู้ต้องหาให้การซัดทอดว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายชญานนท์ อายุ 25 ปี ให้ขนส่งกัญชาดังกล่าวไปที่ประเทศ
มาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน จนต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อม
เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ได้ขอหมายค้นเข้าค้นบ้านของนายชญานนท์ฯ ในพื้นที่ สภ.ตากใบ พบนายชญานนท์ฯ กับพวกรวม 6 คน
พร้อมอาวุธปืน AK-47 อาวุธปืนลูกซอง และอาวุธปืนพกสั้นรวม 3 กระบอก จึงได้จับกุมดำเนินคดี แต่ต่อมาพนักงานสอบสวน
กลับสั่งไม่ฟ้องนายชญานนท์ฯ กับพวก แต่สั่งฟ้อง 1 ในผู้ต้องหาเท่านั้น ซึ่งจากการสืบสวนกรณีดังกล่าว ตรวจพบความ
เชื่อมโยงระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ต้องหา ทั้งในด้านการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์และเส้นทางการเงิน จึงเชื่อได้ว่ามี
การช่วยเหลือผู้ต้องหาให้พ้นจากการถูกดำเนินคดี
ประเด็นที่ 4 กรณี พล.ต.ต.แวสาแม สาและ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ได้มีการออกบัตรแหล่งข่าว ซึ่งปรากฎชื่อและเบอร์
โทรศัพท์ของ พล.ต.ต.แวสาแม โดยจะใช้ในการแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ได้รับการอำนวยความสะดวกในกรณีถูกเรียก
ตรวจ ทำให้กลุ่มผู้ต้องหากล้าพกอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และก่อเหตุทำร้ายร่างกาย
รปภ.โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก โดยในคดีดังกล่าวพบว่าพนักงานสอบสวนถูกแทรกแซงดุลพินิจในการดำเนินการทางคดี
โดย พล.ต.ต.แวสาแม มีการโทรสั่งการให้ปรับเปลี่ยนพฤติการณ์ทางคดี เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ต้องหา พฤติการณ์ดังกล่าว
ของ พล.ต.ต.แวสะแม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ภ.จว.นราธิวาส ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยากลำบากมากขึ้น
จากกรณีทั้ง 4 ประเด็นที่นายอัจฉริยะได้ตั้งข้อสังเกตและมอบพยานหลักฐานให้กับคณะพนักงานสืบสวนได้ทางการ
รวบรวมพยานหลักฐานและแสวงหาข้อเท็จจริงประกอบ บัดนี้ คณะพนักงานสืบสวนตามคำสั่งดังกล่าว ได้มีมติให้มีการ
ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งคดีอาญาและคดีวินัย ดังต่อไปนี้
ดำเนินคดีอาญา กับผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย
1. พล.ต.ต.แวสาแม อดีต ผบก.ภ.จว.นราธิวาส
2. พ.ต.อ.นราวี ผกก.สภ.ตากใบ ภ.จว.นราธิวาส
3. ร.ต.อ.นิมะอามิง รอง สว.(สอบสวน) สภ.ตากใบ ภ.จว.นราธิวาส
4. นายรุ่งเรือง อดีตนายอำเภอสุไหงโก-ลก นราธิวาส
5. นายชญานนท์ ผู้ต้องหาคดีครอบครองยาเสพติดและอาวุธปืน
โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือโยชน์อื่นใดฯ, ปฏิบัติหรือ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และ เป็นเจ้าพนักงานยุติธรรมกระทำการเพื่อจะช่วยเหลือบุคคลใดให้มิต้องรับโทษฯ”
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 157 และ 200 โดยได้มีการมอบผู้แทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
บก.ปปป. เมื่อวันที่ 13 มี.ค.66 เรียบร้อยแล้ว
ดำเนินคดีทำงวินัย กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 13 นาย โดยเป็นคดีวินัยร้ายแรงจำนวน 3 นาย และคดีวินัย
ไม่ร้ายแรง จำนวน 10 นาย โดยคณะพนักงานสืบสวนได้ส่งรายละเอียดพยานหลักฐานและรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้กองวินัยพิจารณาข้อบกพร่องและดำเนินการทางวินัยต่อไปแล้ว
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนเป็นอันมาก โดยนายอัจฉริยะได้
ยื่นหนังสือพร้อมพยานหลักฐานให้ท่าน ผบ.ตร. เพื่อพิจารณาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ซึ่งได้มีการแต่งตั้ง
คณะพนักงานสืบสวนขึ้นเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในการสืบสวนอย่างจริงจัง เพื่อตอบคำถามสังคมให้ได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติดและอาวุธปืนจริงหรือไม่ ผลการสืบสวนเบื้องต้นเป็นไปตามมติของคณะพนักงาน
สืบสวนว่า เห็นควรดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาดและไม่มีละเว้น แม้จะเป็น
ข้าราชการระดับสูงก็ตาม หากพบว่ามีการกระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อสร้างความมั่นใจและตอบคำถามสังคม
ให้ได้ ทั้งนี้ขอขอบคุณนายอัจฉริยะ และสื่อมวลชนทุกท่านที่ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำผิดดังกล่าวจากนี้หากประชาชน
ท่านใดมีเบาะแสการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวหรือเคยถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวเรียกรับผลประโยชน์
โดยผิดกฎหมายสามารถแจ้งให้ทราบได้ โดยจะเก็บเป็นความลับ