10 มกราคม 2025

หนังสื่อพิมพ์ อินไซด์โปลิคไทม์ – insidepolicetime.com

นังสื่อพิมพ์ อินไซด์โปลิคไทม์ – insidepolicetime.com

ปฏิบัติการ GAME OVER ภาคต่อปฏิบัติการ “BLACK HAT Ep.2” ขุดรากถอนโคนขบวนการหลอกลงทุนคริปโต

1 min read

ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐพันธุ์เพชร์ รองผบ.ตร. และพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ให้ความสำคัญและเร่งรัดให้ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการหลอกลวงให้ประชาชนลงทุนทรัพย์สินในรูปแบบต่าง ๆที่อ้างว่าได้รับผลกำไรผลตอบแทนในอัตราสูง กอปรกับปัจจุบันการลงทุนซื้อขายเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซีนั้นกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักลงทุน ทำให้มิจฉาชีพนำมาใช้เป็นอุบายในการหลอกลวง โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเร่งรัดปราบปรามอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยเน้นย้ำให้จับกุมดำเนินคดีให้ได้ทั้งขบวนการ เพื่อสามารถนำเงินมาคืนแก่ผู้เสียหายให้ได้โดยเร็ววันพฤหัสบดีที่ 11 ก.ค.67 เวลา 13.30 น. ณ อาคารกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี2 ชั้น 3 (เมืองทองธานี) นำโดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท,พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 และ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ GAME OVER ภาคต่อ ปฏิบัติการ “BLACK HAT Ep.2” ขุดรากถอนโคนขบวนการหลอกลงทุนคริปโตสืบเนื่องจาก เมื่อปลายปี 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้รับแจ้งความจากกลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 5 ราย ซึ่งพบว่ามีความเชื่อมโยงหลายท้องที่และมีรูปแบบแผนประทุษกรรมในรูปแบบเดียวกัน กล่าวคือ โดนมิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมแล้วหลอกลวงให้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Cryptocurrency โดยมิจฉาชีพสร้างแพลตฟอร์มปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกผู้เสียหายว่าได้กำไรจากการลงทุน จากนั้นมิจฉาชีพจะหลอกล่อให้ผู้เสียหายนำเงินมาลงทุนเพิ่ม จนกระทั่งท้ายที่สุดไม่สามารถถอนคืนเงิน
ลงทุนคืนได้ สร้างความเสียหายรวมกันมูลค่ากว่า 530 ล้านบาท

ซึ่งต่อมาคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน บช.สอท. สามารถรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ต้องหา นำมาสู่ปฏิบัติการ BLACK HAT ล่าล้างขบวนการหลอกลงทุนคริปโตระดมกำลังตำรวจไซเบอร์ทั่วประเทศติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้จำนวนมาก และภายหลังยังพบความเชื่อมโยงคดีระหว่างการหลอกลงทุนเงินดิจิทัลดังกล่าว กับคดีการพนันออนไลน์จึงประสานไปยังสำนักงาน ปปง.จนสามารถยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราวเป็นเงินสดกว่า 117 ล้านบาท พร้อมทั้งรถยนต์ Porscheจำนวน 1 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท รวมทรัพย์สินทั้งสิ้น มูลค่ากว่า 125 ล้านบาท เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและนำมาเฉลี่ยทรัพย์คืนให้แก่ผู้เสียหายต่อไป ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลและวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมเงิน และข้อมูลโทรศัพท์ พบความเชื่อมโยงถึงตัวการที่รับผลประโยชน์จากการหลอกลวงผู้เสียหาย ซึ่งถูกโอนเปลี่ยนสภาพมาเป็นเงินคริปโต จึงแกะรอยข้อมูลการใช้งานกระเป๋าเงินคริปโต พบว่ามีกลุ่มคนจีนเป็นผู้ที่ใช้กระเป๋าเงินคริปโตดังกล่าว ซึ่งมีข้อมูลการใช้งานอยู่ในพื้นที่ชายแดนอ.แม่สอด จ.ตาก โดยมีคนไทยที่เป็นลูกน้องคนใกล้ชิดที่ให้การสนับสนุนในการจัดหาหมายเลขโทรศัพท์สำหรับใช้อำพรางลงทะเบียนเปิดใช้กระเป๋าเงิน คริปโต และติดต่อซื้อขายเงินคริปโตเพื่อฟอกเงินให้ตัวการคนจีนพล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 จึงจัดทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาคนจีนที่เป็นตัวการรับผลประโยชน์ที่แท้จริง และคนไทยที่คอยสนับสนุนการกระทำความผิด เพิ่มเติมได้อีกจำนวน 4 ราย นำมาสู่ ปฏิบัติการ “BLACK HAT Ep.2” ขุดรากถอนโคนขบวนการหลอกลงทุนคริปโต โดย พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ได้สั่งการให้พ.ต.อ.สรกฤช พันธ์ศรี ผกก.3 บก.สอท.3นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนจับกุมกลุ่มคนจีนและคนไทยที่เป็นตัวการดังกล่าว ในพื้นที่ แม่สอด จ.ตาก และพื้นที่ จ.นครราชสีมา จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาคนไทยที่ทำงานเป็นผู้สนับสนุนใกล้ชิดให้คนจีนที่เป็นตัวการได้ จำนวน 2 ราย ดังนี้
1.นายน้อย อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่เปิดลงเบียนหม่ยเลขโทรศัพท์ที่ใช้ลงทะเบียนกระเป๋าเงินคริปโตที่รับเงิน
จากการหลอกลวงผู้เสียหาย
2.นายสมพงษ์ อายุ 41 ปี ซึ่งทำหน้าที่ติดต่อซื้อขายเงินคริปโตเพื่อฟอกเงินให้ตัวการคนจีน
ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบ
คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อัน
เป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
เพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน”นอกจากนี้ยังสามารถตรวจยึดของกลางเป็นโทรศัพท์ บัตรเอทีเอ็ม และสมุดบัญชีธนาคารที่เป็น
พยานหลักฐานสำคัญที่ใช้ในการกระทำความผิด

รวมถึงยึดทรัพย์สินเป็นเงินสด โฉนดที่ดิน รถยนต์ และอายัดเงินในบัญชีธนาคารได้ รวมมูลค่าประมาณเกือบ 2,000,000 บาทการปฏิบัติการในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงลงได้จากความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งภายในและต่างประเทศ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นตัวการที่แท้จริงได้ และขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทราบถึงกลโกงเพื่อเป็นแนวทางในการกันตนเองมิให้หลงเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีอีกต่อไป
*********************************************
ขอบคุณที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

You may have missed